การออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะกับการ Shopping แบบ B2C

[บทความนี้แต่งขึ้นเมื่อ Aug,2001 โดย Rittichart S.]

E-commerce ยังคงเป็นกระแสที่น่าจับตามองอยู่ ถึงแม้ว่าร้านค้าอีเล็กทรอนิกส์ ที่ทยอยเปิดตัวกันมากมายเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อนจะพากันทยอยปิดตัวลงอย่างน่าใจหาย กระนั้นก็ตามในตลาดของเว็บไซต์แบบ B2C ก็ยังมีผู้เล่นรายอื่นๆ เข้ามาเสริมทัพอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ทุึนหนาทำตัวเป็น shopping mall อย่าง Thai.com ของ Inet Thailand หรือ จะเป็น mShop ของค่าย mWeb รวมถึง e-commerce ขนาดกลางๆไปถึงย่อมอย่าง Tohome ,Silkspan,Selectmore หรือล่าสุด PantipShop

ในตลาด B2C ที่ยังคงฟาดฟันกันถึงพริกถึงขิงสวนกระแสผีเข้าผีออกของกิจการดอทคอม อยู่ในขณะนี้ เราจะมีวิธีอย่างไรที่จะเรียกลูกค้าเข้ามาจับจ่ายสินค้าที่เว็บไซต์ของเรา แน่นอน นอกเหนือจากการใช้วิธีการ Promotion เช่นลกแลกแจกแถมต่างๆ นาๆ หรือมีการเล่นเกมส์ชิงรางวัลแล้ว ตัวเว็บไซต์เองก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการ shopping โดยเฉพาะ ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการออแบบเว็บไซต์เพื่อให้ตรงกับความต้องการของนักช๊อปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง ลองมาดูกันว่าในการออกแบบเว็บไซต์สำหรับการ shopping นั้น มีปัจจัยอะไรบ้างที่ควรคำนึงถึง

1.User Friendly อ่านดูแล้วออกจะกว้างไปสักหน่อย แต่โดยรวมๆแล้วก็คือ ทำให้เว็บไซต์นั้นใช้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้ดูสะอาดตา เมนูต่างๆใช้และทำความเข้าใจได้ง่าย มีระบบ Help คอยช่วยเหลือ มี Site map และยังรวมไปถึงความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลอีกด้วย

“จงจำเอาไว้เสมอว่า คำว่า e-commerce นั้นควรจะแปลมาจาก easy-commerce มากว่า electronics commerce”

 
Easy navigator bar จาก Tohome.com เป็นการบอกว่าคุณอยู่ในจุดไหนและมีขั้นตอนใดๆบ้างในการ Shopping

2.Encourage decision making ตรงนี้อาจจะเป็นบทความ หรือสถิติ หรือสื่ออื่นๆ ที่จะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ขายบริการในการสมัครขอสินเชื่อหรือสินค้าทางการเงิน ก็จะมีบทความที่อ่านง่าย หรือบทความเปรียบเทียบ มีโปรแกรมคำนวนการผ่อนส่ง คำนวนความสามารถของการขอสินเชื่อ หรือมีมุมสำหรับให้ ถาม-ตอบ เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยเร่งการตัดสินใจในการซื้อสินค้าให้เร็วยิ่งขึ้น 

 
ภาพตัวอย่างจาก Silkspan มีบทความน่าสนใจให้อ่าน ในหน้าที่บริการสมัครขอสินเชื่อต่างๆ

3.Fresh and New การมีสิ่งที่สดใหม่อยู่เสมอจะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในการที่จะดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาเยี่ยมที่เว็บไซต์บ่อยๆ ดังจะเห็นได้จากตามเว็บ Portal ต่างๆ ที่มีการ update เนื้อหากันแบบรายวัน จึงทำให้มีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมมากและสม่ำเสมอ

4.Interactive Utilization ความได้เปรียบของร้านค้าแบบ online เมื่อเปรียบเทียบกับร้านค้าแบบ offline ก็คือ เว็บไซต์นั้นสามารถที่จะ interactive กับผู้ชมได้แบบหลากหลาย ฉนั้นเราควรจะทำเอาข้อได้เปรียบนี้มาใช้ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ interactive แบบง่ายๆอย่างการมี form รับความคิดเห็น หรือมี Discussion board รวมไปถึงอาจจะมี Chat room สำหรับแผนกบริการลูกค้าเป็นต้น

5.Customer Services เว็บไซต์ e-commerce ที่ดีนั้นควรที่จะมีระบบบริการลูกค้าที่ดีด้วย เพราะนอกจากจะช่วยในการส่งเสริมการขายแล้ว customer service ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความประทับใจกับลูกค้า และเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่สินค้าและบริการอีกด้วย

ด้วยหลักง่ายๆทั้ง5ข้อนี้ คงจะช่วยให้การเริ่มต้นการออกแบบเว็บไซต์ e-commerce ของคุณง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น