ผมมักจะชอบใจเสมอเมื่อมีโอกาสในการเรียนรู้อะไรใหม่ๆครับ ในช่วงปีที่ผ่านมาทางบริษัทก็ได้จัดอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองในหลายๆด้านอยู่บ่อยครั้ง โดยที่มักจะเน้นให้ค้นหาตัวเองจากการประเมินผลในรูปแบบต่างๆเช่น 360องศา หรือการทดสอบต่างๆนาๆ แต่ผลที่ได้ก็มักจะเป็นในแง่ของเข้าใจว่าจุดดีจุดด้อยของตัวเองเป็นอย่างไร และจะต้องทำอย่างไรถึงจะพัฒนาให้มันดีขึ้น ซึ่งผมก็เห็นว่ามันก็ีดีอยู่ แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรที่ยั่งยืนเลย
จนมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองที่ทั้งผมและน้องๆในทีมได้แจกหนังสือมาคนละเล่มชื่อว่า “เจาะจุดแข็ง” โดยที่ได้จทย์มาเหมือนกันทุกคนว่า ให้อ่านสามบทแรก แล้วทำแบบทดสอบผ่านอินเตอร์เนต จากนั้นในอาทิตย์ถัดมา ทางบริษัทจะจัด work shop นอกสถานที่และจะใช้ผลจากการทำแบบทดสอบนี้ด้วย สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาว่าหนังสือเล่มนี้มันน่าสนใจในแง่ที่ว่า นอกจากอ่านแล้วยังสามารถนำไปทำกิจกรรมต่อยอดได้จริง และที่สำคัญมัน localize เรียบร้อยแล้วคือมีเวอร์ชั่นภาษาไทย ทั้งตัวหนังสือและแบบทดสอบบนเว็บ how cool!
ผมไม่รอช้าหยิบมาอ่านแล้วก็ต้องสะดุดและชอบใจประโยคหนึ่งในบทนำที่เขียนไว้ว่า “พวกเราแต่ละึคนได้รับการส่งเสริมในโรงเรียนและในที่ทำงานทั่วโลกให้ค้นหา วิเคราะห์ และแก้ไขจุดอ่อนของตนเองเพื่อจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คำแนะนำเช่นนี้มีเจตนาดีแต่เป็นความเข้าใจที่ผิด” อ่านแล้วโดน! กระแทกเข้ามาในกะโหลกอย่างแร๊งงงง.. ผมตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะอ่านหน้าต่อไปและต่อไป …
คำแนะนำในการอ่านหนังสืิอเล่มนี้ก็คือให้อ่านจนถึงบทที่3 แล้วให้ทำแบบทดสอบบนเว็บไซต์ http://www.strengthsfinder.com ซึ่งแบบทดสอบนี้จะทำให้เราทราบถึงจุดแข็งหลักๆของเรา หลังจากนั้นในการอ่านบทถัดๆไปจะทำให้เราเข้าใจถึงคุณลักษณะจุดแข็งในแบบต่างๆที่มีอยู่ทั้งหมด 34แบบ หรือเรียกเป็นภาษาชาวบ้านคือแบบทดสอบนี้จะช่วยค้นหาว่าพรสวรรค์ของเราคืออะไรนั่นเอง
หลังจากที่ผมอ่านจนครบ3บทแล้ว นี่คือข้อสรุปส่วนตัวที่ผมเข้าใจครับ
- การพัฒนาจุดแข็งให้แกร่งยิ่งขึ้นส่งผลต่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมากกว่าการพัฒนาจุดด้อย
- การลบข้อด้อยนั้นก็จำเป็นต้องทำแต่ควรให้ความสำคัญน้อยกว่าการทำให้จุดแข็งของตัวเองเด่นขึ้น
- จุดแข็งคือการปฎิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้แทบจะสมบูรณ์แบบอย่างสม่ำเสมอ
- จุดแข็งคือการรวมตัวกันของ พรสวรรค์ ความรู้ และ ทักษะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พรสวรรค์ เพราะมันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวตนของแต่ละคน
- คนส่วนมากมักแสวงหาความรู้โดยไม่คำนึงถึงพรสวรรค์ของตัวเอง ส่งผลให้ไม่สามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดของตนเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
- การเข้าใจจุดแข็งของตัวเองและลูกน้องทำให้การ put the right man to the right job มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างใจเป็นกลางผมเห็นว่าสิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกเอาไว้ (ซึ่งเป็นการสำรวจจากแบบสอบถามคนกว่าสองล้านคนนะครับ) ก็ค่อนข้างที่จะน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร บ่อยครั้งผมมักจะเจอคนที่ชอบบอกว่า พรสวรรค์ไม่เท่ากับพรแสวง ผมก็มักจะคิดแย้งอยู่ในใจเสมอมาว่า ก็ถูกของพี่ถ้าพี่ต้องการอะไรที่แค่ได้มาตรฐาน แต่ถ้าพี่ต้องการอะไรที่perfect มันต้องทั้งสวรรค์และแสวงรวมตัวกันมันถึงจะเป็นจุดสุดยอดclimax หนังสือเล่มนี้ได้ทำให้ผมยิ่งมั่นใจในความเชื่อของผมข้างต้นมากยิ่งขึ้น ทีนี้ปัญหาของคนส่วนมากมันอยู่ที่การระบุว่าพรสวรรค์ที่แท้จริงของเค้าเหล่านั้นคืออะไร ซึ่งสิ่งนี้น่าสนใจ ในหนังสือระบุเอาไว้ว่า “พรสวรรค์คือ แบบแผนของความคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรมที่เกิดซ้ำๆ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้” นอกจากนี้ยังได้จัดทำแบบทดสอบขึ้นมาบนเว็บ โดยที่หลังหนังสือเล่มนี้จะมีการ์ดรหัสให้สามารถใช้ลงทะเบียนเพื่อทำแบบทดสอบได้ จะรอช้าไ ปทำไมผมอยากจะรู้เต็มแก่แล้วละว่าจุดแข็งหรือพวงสวรรค์ เอ้ยพรสวรรค์ของผมจากแบบทดสอบนี้จะมีหน้าตาอย่างไร เริ่มต้นให้เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.strengthsfinder.com ถ้าอยากทำภาษาไทยให้คลิกเลือกภาษาได้จากหน้านี้นะครับ หลังจากนั้นระบบจะนำเราไปสู่หน้าที่ให้ใส่รหัสที่ได้มาจากการ์ดด้านหลังหนังสือ ก็ใส่สิ โลด..
หลังจากนั้นเราก็ต้องลงทะเบียน ชื่อ-นามสกุล อีเมล์อะไรก็ว่ากันไปครับ ทำไปเรื่อยๆตามเค้าต้องการเลย ก่อนจะทำแบบทดสอบก็จะมีให้เราทำแบบสำรวจนิดหน่อย จะทำหรือไม่ทำก็สุดแล้วแต่ครับ จากนั้นก็จะมาถึงหน้าที่บอกรายละเอียดการทำแบบสอบถามกันละครับ ซึ่งจะมีเวลาให้เรา 35นาที คำถามเป็นลักษณะแบบให้เลือกสิ่งที่คิดว่าตรงกับเรามากที่สุดมา และโดยที่มันมีคำถามเยอะมาก แต่ละข้อมีเวลาแค่ 20วินาที ดังนั้นก็คงไม่มีเวลาให้พินิจพิเคราะห์มากนัก พอเห็นข้อที่ตรงกับนิสัยหรือการกระทำของตัวเรามากที่สุดก็กดเลือกข้อนั้นไปเลยครับ ไม่งั้นมันข้ามไปเลยล่ะ ถ้าใช้เวลาเกิน >_<
ลักษณะของคำถามก็จะเป็นในรูปแบบให้เลือกสิ่งที่ตรงกับเรา ดังตัวอย่างด้านล่าง มีพฤติกรรมอยู่สองอย่างซ้ายขวา ด้านซ้ายสุดบอกว่า “ฉันอ่านคำแนะนำก่อนที่จะเริ่มต้น” และ ด้านขวาสุด “ฉันต้องการข้ามไปสาระสำคัญ” ตรงกลางก็บอกว่า “เฉยๆ” ถ็ถ้าผมเป็นประเภทแบบยังไงก็ได้ หรือไม่แน่ใจ ผมก็จะเลือก เฉยๆ แต่ถ้าผมมั่นใจว่าผมมักจะอ่านคำแนะนำทุกครั้งก่อนจะทำอะไรก็ตามผมก็จะเลือกซ้ายสุด หรือถ้าผมคิดว่าผมทำมั่งไม่ทำมั่ง ผมก็จะเลือกช่องว่างๆทางซ้ายที่ถุดมาจากซ้ายสุดอีกที ในการทำแบบสอบถามก็จะทำแบบนี้แหละครับประมาณ 90 ข้อ ก็เท่ากับมีคู่ให้เลือกทั้งหมด 180 คู่..
เมื่อทำแบบทดสอบเสร็จแล้วระบบก็จะประมวลผลออกมาว่าจากแบบสอบถามเหล่านี้ เราน่าจะมีจุดแข็งหรือพรสวรรค์ด้านใดบ้างเรียงตามลำดับลงมา 5 อันดับครับ ตามรูปด้านล่างเลย แหมเอาข้อมูลส่วนตัวของผมมาเปิดเผยเลยนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรครับ เพื่อการศึกษา บทความนี้ก็เหมือนทั้งผมและทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านจะได้ศึกษาไปพร้อมกันเลย
เมื่อเราได้ผลจากการทำแบบทดสอบมาแล้วก็เริ่มอ่านบทที่ 4 ต่อได้เลยเพื่อทำความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของเรา หรือของคนอื่นๆ ถ้าเรารู้ผลของเขาเหมือนกันนะครับ 🙂 ..
.. จบแบบดื้อๆซะงั้น