[บทความแต่งขึ้นเมื่อ Jan,2006 โดย Rittichart S.]
บทความนี้ออกจะแหวกแนวไปจากที่ผู้เขียนเองเคยเขียนมาอยู่สักหน่อย จริงๆแล้วเหมือนเป็นการเล่าสู่กันฟังมากกว่า เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้เขียนเองได้มีโอกาสได้บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่วัดบางนา จังหวัดปทุมธานี ตอนนั้นผู้เขียนอายุได้สักสามสิบ และกว่าครึ่งหนึ่งของอายุขณะนั้น ผู้เขียนเองจะเรียกได้ว่านับถือศาสนาคริสต์ก็มิผิดนัก อย่างไรก็ดีจุดประสงค์หลักที่ผู้เขียนตัดสินใจบวชก็เพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดาและที่สำคัญที่สุดคือคุณย่าของผู้เขียนเอง
วันหนึ่งในขณะที่ยังบวชอยู่นั้น เข้าใจว่าเพิ่งจะบวชได้สักหนึ่งอาทิตย์ ผู้เขียนนั่งอยู่ในกุฏิคนเดียว นั่งอ่านหนังสือธรรมะ (จริงๆนะ) ใจมันก็ฟุ้งซ่านมาก คิดไปว่าอยากจะฉัน(กิน)ก๋วยเตี๋ยวร้านประจำ ที่ผู้เขียนชอบมากๆ คิดไปก็หิวไป ท้องก็ร้องแสบท้องไปหมด จึงนั่งคิดหาทางต่างๆนาๆว่าทำอย่างไรนะถึงจะได้ก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นมาฉัน(กิน) ไอ้ครั้นจะให้ใครไปซื้อ วัดกับร้านก็อยู่ไกลกันหลายกิโลมากๆ (ร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวๆประชาชื่น) ครั้นจะไปเอง ก็ไม่ไหว ยังห่มจีวรไม่ค่อยคล่องเกิดหลุดลุ่ยไปมันจะไม่งาม อีกอย่างเป็นพระก็ไม่น่าจะไปทำตัวรุ่มร่ามนอกวัดเลย นั่งหงุดหงิดอยู่นาน ท้องก็ร้องโครกคราก คิดไปว่าหรือเราจะโทรไปให้เพื่อนสนิทไปซื้อแล้วเอามาถวาย ก็มานั่งกังวลอีกว่าเป็นพระอยู่เรามิควรเอ่ยปากขอ รู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ
ขณะนั้นเองก็มีเสียงกลองเพลดังขึ้น เสียงนี้หมายความว่าพระสงฆ์แต่ละรูปควรจะฉันอาหารให้เรียบร้อยภายในหนึ่งชั่วโมง หรือก่อนเที่ยงวันนั่นเอง หลังจากนั้นจะฉันอะไรไม่ได้อีกจนถึงวันรุ่งขึ้น ใจก็ยิ่งทุรนทุราย หิวก็หิว ไม่รู้จะทำอย่างไรดีถึงจะได้ก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยของเรามากิน หัวก็คิดไปตาก็พลางเหลือบไปเห็นห่อข้าวที่ได้จากบิณฑบาตร ในห่อนั้นมีข้าวสวยหนึ่งถุง กับแกงเผ็ดหน่อไม้ไก่อีกหนึ่งถุง ตอนนั้นก็คิดไปว่า เราฉันซะก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยคิดหาทางต่อ ไม่งั้นจะเลยเวลาเพล จึงหยิบถุงข้าวสวยมาแล้วเทแกงเผ็ดไก่ใส่ในถุงข้าว ไม่ได้มีพิธีรีตรอง หาชามหาจานเป็นเรื่องเป็นราวอะไรเพราะคิดไปว่าจะฉันพออิ่มแล้วค่อยคิดหาทางต่อ พอเทเสร็จสายตาเหลือบไปเห็น โธ่..แกงอะไรกันเนี่ยมีแต่หนังไก่สองชิ้น กับเศษเนื้อไก่ชิ้นเดียว นอกนั้นเป็นหน่อไม้ล้วนๆ ก็ยิ่งหงุดหงิดไปอีก แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องฉันอยู่ดีเพราะแสบท้องมาก ก็เลยลงมือฉัน อย่างเร็ว จะว่ามูมมามเลยก็ว่าได้ ข้าวหมดไปครึ่งถุง ท้องก็เริ่มอิ่ม หลังจากนั้น.. เอ๊ ท้องที่ปวดเมื่อกี้มันหายไปไหน .. ความอยากกินก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยของเรามันหายไปไหน ความหงุดหงิดเมื่อสักครู่นี้มันหายไปไหน..
แล้วผมก็เห็นสัจจะธรรมความจริงว่าความทุกข์ทรมานที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ล้วนมาจากความอยากของเราเอง เป็นจิตของเราเองที่เราเป็นผู้ปรุงแต่งมันขึ้นมา ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถดับความอยากได้ด้วยตัวเอง ยังต้องใช้สิ่งอื่น นั่นคือข้าวกับแกงหน่อไม้นี้มาดับ แต่ว่ามันก็ทำให้ผมได้คิด เพื่อนๆครับ หลายครั้งที่เราปล่อยให้ความอยากของเรามาครอบงำตัวเรา ทำให้เกิดความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ผมอยากจะสื่อให้ทุกๆท่านทราบว่า ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในสติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเรากำลังเป็นอะไร กำลังจะทำอะไร ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมาจากพื้นฐานต่างกันขนาดไหน การรู้ผิดชอบชั่วดีนั้นทุกคนต้องมี อยู่ที่จะทำมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง